ด้วยความรักที่มีต่อกีฬาฟุตบอลมาตลอดชีวิตของ Deena Rahman นำพาให้เธอเดินทางจากอังกฤษไปที่อียิปต์ จากนั้นไปบาห์เรน ต่อด้วยทานซาเนีย และในสถานที่ต่างๆที่ไกลออกไปอีก ในปี 2017 เธอได้เดินทางไปที่ภูเขาคิลิมันจาโรพร้อมกับผู้หญิงอีก 32 คน จาก 20 ประเทศ ซึ่งมีอายุอยู่ระหว่าง 15 ถึง 55 ปี และมีฝีมือตั้งแต่มือสมัครเล่นไปจนถึงมืออาชีพ เพื่อไปปีนยอดเขานั้นและสร้างสถิติใน Guinness World Record สำหรับเป็นเกมการแข่งขันฟุตบอลที่สุดที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีการเล่นมา พวกเขาแข่งขันกันบนพื้นขี้เถ้าของภูเขาไฟที่สูงประมาณ 18,760 ฟุต และในปี 2018 เธอได้รับการเชิญชวนจากเจ้าชายอาลีให้ไปยังประเทศจอร์แดนเพื่อทำการแข่งขันฟุตบอลในจุดที่ต่ำที่สุดของโลกอย่างทะเลเดดซี ซึ่งมีระดับต่ำกว่าระดับของน้ำทะเลถึง 1,412 ฟุตเลยทีเดียว
นี่ถือเป็นสองสถิติจากห้าสถิติโลกที่เธอได้รับการบันทึกไว้ และล่าสุด ในเดือนธันวาคม ปี 2020 เธอก็ได้สร้างสถิติอีกครั้งด้วยการเตะลูกโทษได้มากที่สุดในโลกภายในเวลา 24 ชั่วโมง โดยอีกสองสถิติของเธอมาจากการที่เธอได้เข้าร่วมเกมการแข่งขันกีฬาฟุตซอลที่ใหญ่ที่สุดซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 800 คนตลอด 5 วันรวมถึงการจำกัดการพักค้างคืนจากทีมของ Rahman ซึ่งคือทีม Legendary Eggs แค่ 7 ชั่วโมงเท่านั้น และอีกสถิติมาจากการเล่นกีฬาฟุตบอลที่มีผู้เล่นหลากหลายสัญชาติมากที่สุดในโลก
หากมองแวบแรก ชีวิตของ Rahman ดูเหมือนจะเป็นคนที่บ้าการทำลายสถิติมากเกินไป เธอเคยเป็นหนึ่งในผู้หญิงคนแรกที่ได้รับค่าจ้างให้ไปเล่นฟุตบอลในยุโรปกับทีมฟูแล่มในปี 2000 และก็เคยเล่นให้กับทีมชาติสองทีมอย่างอังกฤษและบาห์เรนด้วย ซึ่งเธอในวัย 37 ปีก็ยังคงเล่นฟุตบอลให้กับทีมชาติบาห์เรนอยู่ และในปัจจุบัน เธอก็กำลังดูแลสถาบันการศึกษาของเธอเองกับพอลสามีของเธอ หลังจากที่ได้ใช้เวลาช่วงก่อนหน้านี้ในอาชีพการทำงานของสโมสรในการพัฒนาสถาบัน เมื่อเธอมาถึงประเทศบาห์เรนตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งในปัจจุบันเธอก็อาศัยอยู่ที่นั่น เธอได้จัดตั้งลีกการแข่งขันสำหรับผู้หญิงและดึงดูดทีมจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเล่น โดยเมื่อปีที่แล้ว เธอได้ตัดสินใจไปลงแข่งวิ่งอัลตร้ามาราธอนจาก London ไป Brighton อีกด้วย
มีเพียงไม่กี่คนที่จะเอาตัวเองไปเตะบอลเข้าตาข่ายซ้ำตลอด 24 ชั่งโมง แต่สำหรับ Rahman นั้นแรงจูงใจในการที่จะสร้างสถิตินี้มีมากเป็นสองเท่า โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นคนที่รักในการผลักดันตัวเอง เจ้าของฉายา “ชีพจรลงเท้า” ได้สารภาพกับตัวเองว่า เธอกำลังมองหาการผจญภัยครั้งต่อไปอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม แรงจูงใจในด้านอื่น ๆของเธออาจเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า โดย Rahman ได้มีการปฏิบัติภารกิจร่วมกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่างองค์กร Equal Playing Field เพื่อแสดงให้เด็กผู้หญิงและผู้หญิงหลายๆคนเห็นว่าไม่มีความท้าทายใดที่พวกเขาทำไม่ได้
Rahman ได้กล่าวกับทาง ESPN ว่า “เรามีสถิติโลกแล้ว 5 รายการ แต่ละสถิติจะมีข้อความหรือคำพูดที่พวกเราสามารถนำใช้เล่าผ่านสถิติเหล่านั้นได้”
Rahman กล่าวอีกว่าข้อความนั้นแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับว่าองค์กร Equal Playing Field อยู่ที่ไหน เช่น เมื่อองค์กรได้เดินทางไปประเทศจอร์แดนในปี 2018 พวกเขาเข้าไปในค่ายผู้ลี้ภัยและจัดตั้งบทเรียนเพื่อสอนการเล่นฟุตบอลให้กับเด็กผู้หญิงประมาณ 300 คนที่ “ไม่มีวันได้รับโอกาสในการเล่นฟุตบอล”
“มันเป็นเรื่องที่เข้มงวดมากในบางพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามีอายุ 9 ขวบ 10 ขวบ พวกเขาจะอยู่แต่บ้านและไม่ได้เล่นกีฬาอะไรเลย ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากที่ได้เห็นเด็กผู้หญิงเหล่านี้มาร่วมพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พวกเราได้เล่นในสถานที่ห่างไกลจริงๆซึ่งมีแค่กรวยกับทรายเท่านั้น แต่มันเป็นอะไรที่น่าประทับใจมากที่ได้เห็นพวกเขาสนุกกับตัวเอง ได้ออกกำลังกาย และได้เล่นฟุตบอลกับเรา”
ตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมงในการบันทึกสถิติการเตะลูกโทษของเธอนั้น ทาง Equal Playing Field ได้มีการนำซีรีส์การพูดคุยมาเผยแพร่ออกอากาศโดยมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับหลักการสำคัญของพวกเขาในการพัฒนาความเสมอภาคทางเพศ การสนับสนุนองค์กรที่มีอยู่ที่คอยช่วยเหลือเด็กผู้หญิงในการกีฬาต่างๆและขยายงานให้เกิดขึ้นทั่วโลกเพื่อแสวงหาเป้าหมายนี้ ซึ่งนี่จะรวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่การตั้งแคมป์ระดับโลกไปจนถึงการปรับปรุงคุณภาพของฟุตบอลหญิงเพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มต่างๆในท้องถิ่น เช่น สโมสร สถาบันการศึกษา งานการกุศลต่างๆ และองค์กรพัฒนาเอกชนภายในโครงการของตนเองอีกด้วย
ในส่วนของตัวเธอเองนั้น Rahman ได้มีทีมผู้รักษาประตูถึง 24 คนเพื่อที่จะช่วยให้เธอสร้างสถิติใหม่ขึ้นมาอีก ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เล่นจากสถาบัน Tekkers ที่เธอดูแลอยู่กับสามีของเธอ เหล่าแม่ๆของผู้เล่น และเพื่อนร่วมทีมจาก Arabian Celts ซึ่งเป็นทีมใน Gaelic football ของประเทศบาห์เรน
การย้อนเวลากลับไปสู่ช่วงแรกในการเล่นฟุตบอลของ Rahman จะช่วยเล่าถึงความหลงใหลในการที่จะก้าวหน้าเข้าสู่เกมการแข่งฟุตบอลของผู้หญิง ซึ่งเธอเกิดในเมืองฟูแล่มในประเทศอังกฤษ โดยเธอเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่เธออายุ 7 ขวบและเธอเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นที่เล่นฟุตบอลในตอนนั้น เธอได้รับการฝึกรวมกับเด็กผู้ชายจนกระทั่งพวกเขาเริ่มสร้างทีมผู้หญิงในเวลาต่อมา
เธอกล่าวถึงประสบการณ์ของเธอว่า “ฉันคิดว่ามันช่วยให้ฉันได้พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ฉันต้องแข็งแกร่ง ฉันต้องเข้มแข็ง และฉันรู้สึกขอบคุณมากที่ตัวฉันเองเก่งขึ้นและก็พัฒนาขึ้น”
ตอนที่ Rahman อายุได้ 15 ปี เธอได้เดินทางไปยังประเทศอังกฤษเพื่อเข้ารับการทดสอบและก็ได้รับเลือกให้ลงเล่นในทีมประเภทอายุน้อยกว่า 18 ปี ซึ่งเธอได้เล่นไปทั้งหมด 18 นัด และได้ไปเล่นอีก 2 นัดในการแข่งขัน European Championships นอกจากนี้เธอก็ยังคงพัฒนาฝีมือเธอกับทีมฟูแล่มและเป็นหนึ่งในผู้หญิงคนแรกในยุโรปที่ได้รับค่าตอบแทนจากการเล่นฟุตบอลในตอนที่ทีมเข้าสู่ลีกอาชีพในปี 2000
เธอกล่าวว่า “สโมสรของเรายอดเยี่ยมมาก เราได้ฝึกที่สนามฝึกซ้อมร่วมกับทีมผู้ชาย ซึ่งเราได้รับการสนับสนุนทั้งหมดตามที่เราต้องการ”
“ฉันพูดตามตรงเลยนะว่า ความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วเกินไป เพราะพวกเราไม่ได้อยู่ในดิวิชั่นสูงๆ ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าแค่เงินเพียงอย่างเดียวก็ยังไม่เพียงพอที่จะส่งคุณให้ไปอยู่ในดิวิชั่นสูงๆได้ ดังนั้นพวกเราจึงอยู่แค่ในลำดับที่เทียบเท่ากับดิวิชั่น 3 ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนในฟุตบอลหญิง แต่มันก็น่าขำนะเพราะพวกเราเป็นทีมระดับมืออาชีพที่อยู่ในดิวิชั่นที่ 3 ซึ่งเราเอาชนะทีมอื่นๆไปด้วยคะแนน 25 ประตูต่อ 0 ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันเป็นอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย”
ทีมฟูแล่มยังคงเป็นทีมในลีกอาชีพมาเป็นเวลากว่าสามปีแล้ว แต่จากนั้นก็ได้เปลี่ยนไปเป็นทีมกึ่งลีกอาชีพเนื่องจากปัญหาการหมุนเวียนเงินในสโมสร ก่อนที่จะถอยกลับไปเป็นทีมระดับมือสมัครเล่นและจากนั้นทีมก็ถูกการละทิ้งจากทางสโมสรทั้งหมดเลยในปี 2006 ซึ่งในขณะที่มีการเปิดตัวของสัญญาในลีกอาชีพเป็นเรื่องที่ดูน่าตื่นเต้นสำหรับในวงการฟุตบอล แต่การเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ Rahman ฉุกคิดก่อน
เธอกล่าวว่า “ฉันคิดว่าหลายๆอย่างมันมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าฉันเคยได้รับการยกระดับให้เล่นทีมชาติอังกฤษในช่วงแรกๆ ซึ่งเมื่อทีมฟูแล่มก้าวไปสู่ในลีกอาชีพ มันจึงเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่และเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก แต่พวกเราก็ได้ดึงผู้เล่นที่มีอายุมากที่แข็งแกร่งหลายคนเข้าร่วมทีม ซึ่งฉันเพิ่งต่อสู้กับความมั่นใจในตัวเองมาพอสมควร ดังนั้นเมื่อฉันสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาในด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาแล้ว ฉันน่าจะมีความเข้าใจในเรื่องราวของจิตวิทยาได้มากขึ้น”
Rahman ก็ยังคงต่อสู้กับร่างกายของตัวเองต่อไป จนในที่สุดพ่อของเธอได้พาเธอกลับไปยังบ้านของเขาซึ่งก็คือประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นที่ที่เธอเคยเล่นฟุตบอลเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะไปเข้าร่วมการแข่งขันในลีก ACL ซึ่งมันบังคับให้เธอกลับไปอังกฤษเพื่อรับการผ่าตัดและบำบัด และในขณะนั้น เธอก็เริ่มทำงานเกี่ยวกับการฝึกสอนให้กับทีม Arsenal เมื่อตอนที่เธอมีโอกาสไปยังประเทศบาห์เรน
การเดินทางห้าวันนี้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตของ Rahman ไปเลย และในขณะที่อยู่ที่นั่น เธอก็ได้งานเป็นโค้ชฝึกสอนหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้ย้ายไปอยู่กับพอล สามีของเธอ โดยเธอได้เริ่มยกระดับชื่อเสียงของฟุตบอลหญิงในประเทศในทันที
Rahman กล่าวว่า “เห็นได้ชัดเลยว่าไม่มีผู้หญิงเล่นฟุตบอลมากนักในแถบตะวันออกกลาง แม้ที่นี่จะมีทีมชาติก็จริง แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลยหลังจากนั้น หนึ่งในความมุ่งมั่นหลักของฉันในการผลักดันสิ่งต่างๆนี้คือฉันจะเปลี่ยนสิ่งนั้นและโชคดีที่ฉันได้ทำมันไปแล้ว”
ในฐานะโค้ชของสถาบันการศึกษา เธอได้เปลี่ยนจากฝึกสอนให้กับเด็กผู้หญิงสองคนไปเป็นการฝึกสอนคนอื่นๆมากกว่า 100 คนในช่วงสองสามปีแรก และเธอได้เริ่มต้นสร้างการแข่งขันของลีกผู้หญิงแห่งแรกของประเทศซึ่งตอนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ Bahrain FA เธอได้มองเห็นทีมต่างๆที่เดินทางมาจากประเทศซาอุดิอาราเบียเพื่อมาทำการแข่งขันเนื่องจากในบ้านของพวกเขาไม่มีโอกาสในการแข่งขันแบบนี้ ด้วยความที่เธอตามล่าหาความท้าทายในครั้งต่อไปอยู่เสมอ ทำให้เธอและสามีก่อตั้งสถาบันการศึกษาของตัวเองที่มีชื่อว่า Tekkers ในปี 2015 โดยใน 8 แห่งของสถาบันเธอนั้น มีพนักงานประจำอยู่ 10 คนและเด็กผู้หญิงกว่า 200 คนที่เล่นควบคู่ไปกับโปรแกรมการฝึกของเด็กผู้ชาย
เธอให้คำอธิบายว่า “พวกเรามีคลาสที่สอนสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างเดียวเหมือนกัน และคลาสเหล่านั้นก็เต็มหมด เด็กๆสองสามคนก็ได้เข้ามาเล่นกับทีมของเรา ดังนั้นพวกเขาก็จะได้เล่นในทีมกับเด็กๆผู้ชายด้วย ซึ่งฉันก็ยืนยันที่จะทำในสิ่งที่ฉันคิด เพราะมันช่วยในการฝึกฝนการเล่นฟุตบอลจริงๆนะ มีแค่ปัจจัยเล็กๆน้อยในเรื่องของความเร็วและความแข็งแกร่งที่คุณจำเป็นต้องใช้ แล้วก็ความมั่นใจในการที่จะบอกว่าคุณเก่งพอที่จะแข่งขันกับผู้ชายได้”
เช่นเดียวกับการฝึกสอนเด็กผู้หญิงเหล่านี้ผ่านการเล่นในลีกอาชีพของพวกเธอ เธอก็ยังมองว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเธอในการเป็นผู้นำก็เหมือนกับตัวอย่างที่เธอได้รับการบันทึกสถิติโลกว่าเป็นผู้ที่เตะลูกโทษได้มากที่สุดภายใน 24 ชั่วโมงนั่นเอง โดยในตอนแรก เธอต้องการที่จะมีสถิติที่จะเกี่ยวข้องกับทีม แต่ข้อปฏิบัติต่างๆที่เกี่ยวกับการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาทำให้เรื่องนี้ยากขึ้น จนทำให้ท้ายที่สุด พวกเขาได้บันทึกสถิติการยิงลูกโทษของเธอเนื่องจากเธอสามารถรวบรวมจำนวนผู้คนมากมายถึงแม้จะยังคงอยู่ในมาตรการที่ต้องรักษาความปลอดภัยและความรับผิดชอบก็ตาม
โดยสถิติอย่างเป็นทางการที่เคยมีคนทำไว้ก่อนหน้าคือ 1,111 ลูก และสถิติอย่างไม่เป็นทางการอีกอันคือ 2,075 ลูก ทำให้ Rahman ตั้งเป้าหมายในการทำลูกโทษ 100 ลูกต่อชั่วโมง ซึ่งเธอจะทำการเตะเป็นเวลา 50 นาทีก่อนที่จะหยุดพัก 10 นาทีแล้วเริ่มใหม่อีกครั้งเมื่อเริ่มต้นชั่วโมงถัดไป นี่น่าจะทำให้เธอทำประตูได้ประมาณ 2,400 ลูก แต่อย่างไรก็ตามภายในสี่ชั่วโมง เธอก็ได้ทุบสถิติที่ได้รับการบันทึกไว้อย่างเป็นทางการก่อนหน้า 1,111 ลูกไป และในอีกสองสามชั่วโมงต่อมา เธอก็ได้ลอยลำโดยการทุบสถิติที่ได้รับการบันทึกไว้อย่างไม่เป็นทางการก่อนหน้า 2,075 ลูกไป เมื่อเธอทุบสถิติที่ได้บันทึกไว้สองครั้งก่อนหน้าได้แล้วนั้น พอลสามีของเธอก็ได้แนะนำเธออย่างสุภาพว่าเธอน่าจะหยุดแล้วกลับบ้านไปนอนได้แล้ว แต่ Rahman ก็ไม่ปรารถนาที่จะทำอย่างนั้น
เธอพูดว่า “ฉันแค่รู้สึกว่าฉันมีความรับผิดชอบที่จะไม่หยุดทำเพราะฉันมีคนเหล่านี้ทั้งหมดที่ฉันอยากจะได้พวกเขาเข้าร่วมทีม แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางดึกแล้วก็ตาม แต่ฉันก็ยังให้พวกเขาออกมาทำประตูตอนตี 3 และเป็นผู้รักษาประตูต่อ นอกจากนั้นยังมีการรายงานสดอีก ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมฉันถึงยังทำมันต่อไปเรื่อยๆ”
ท้ายที่สุด เธอยิงจุดโทษไป 7,876 ครั้ง ทำลายสถิติ 6,765 ได้อย่างน่าตกใจ
เธอบอกว่า “ฉันไม่ได้มีการฝึกซ้อมการยิงจุดโทษเลย บางคนก็แบบบอกว่า แน่ใจหรอว่าจะไม่ซ้อมการยิงจุดโทษก่อน ฉันก็บอกไปว่า ‘ไม่ฝึกจ่ะ เพราะยังไงเดี๋ยวพวกเขาก็อ่อนล้าลง แต่ฉันก็แค่ทำให้เต็มที่ก็พอ’ ”
“ฉันรู้สึกเหนื่อยล้า ขาของฉันเริ่มหนักขึ้นจริง ๆ หนักมากและมันก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย สภาพของฉันเริ่มอ่อนแอลง”
และเมื่อเข้าสู่ปีใหม่ Rahman ได้ตั้งใจว่านี่จะไม่ใช่สถิติโลกครั้งสุดท้ายของเธอ เมื่อเธอถูกถามแบบตลกๆว่า การเล่นฟุตบอลบนดวงจันทร์อาจจะเป็นการสร้างสถิติในครั้งต่อไปรึเปล่า เธอก็หยุดคิดก่อนที่จะยิ้มกว้างแล้วตอบกลับมาว่า “นั่นเป็นความคิดที่ดีจริงๆ”